กนง. มีมติเอกฉันท์ลดดอกเบี้ย 25 BPS เหลือ 1.5% ในการประชุม กนง. ครั้งที่ 4 ของปี 2568

Published

Modified

ไทย ลดดอกเบี้ย เหลือ 1.5% ต่อปี กนง. มีมติเอกฉันท์ ลดอัตราดอกเบี้ยนโยบาย 0.25% หรือ 25 BPS จาก 1.75% เหลือ 1.5% ต่อปี ในการประชุม กนง ครั้งที่ 4 ของปี 2568

ผลการประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ครั้งที่ 4 ของปี 2568 วันที่ 13 สิงหาคม 2568 คณะกรรมการนโยบายการเงินมีมติเป็นเอกฉันท์ให้ลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลง 25 Basis Point จาก 1.75% เหลือ 1.5% ต่อปี โดยให้มีผลทันที ซึ่งเป็นการลดดอกเบี้ยนโยบายเป็นที่ 3 ของปีนี้ หลังจากที่คณะกรรมการนโยบายการเงินได้ลดดอกเบี้ยเหลือ 1.75% ในประชุม กนง. ครั้งที่ 2 ในเดือนเมษายน 2568 ที่ผ่านมา

  • เศรษฐกิจไทยในปี 2568 และ 2569 ขยายตัวใกล้เคียงกับที่ประเมินไว้
  • นอัตราเงินเฟ้อทั่วไปมีแนวโน้มอยู่ในระดับต่ำจากปัจจัยด้านอุปทาน
  • มาตรการภาษีของสหรัฐฯ จะซ้ำเติมปัญหาเชิงโครงสร้างและขีดความสามารถในการแข่งขัน และเศรษฐกิจบางภาคส่วนมีความเปราะบางมากขึ้น โดยเฉพาะ SMEs
  • คณะกรรมการฯ เห็นว่านโยบายการเงินสามารถผ่อนคลายเพิ่มเติมได้บ้าง เพื่อให้ภาวะการเงินเอื้อต่อการปรับตัวของภาคธุรกิจและช่วยบรรเทาภาระของกลุ่มเปราะบาง

มุมมองที่ กนง. ตัดสินใจลดดอกเบี้ย

การตัดสินใจลดดอกเบี้ยนโยบายลงอีก 25 BPS ในครั้งนี้ของคณะกรรมการทั้ง 7 ท่านมีมติเป็นเอกฉันท์ให้ลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายจาก 1.75% เหลือ 1.5% เนื่องจากมาตรการภาษีของสหรัฐฯ จะซ้ำเติมปัญหาเชิงโครงสร้างและขีดความสามารถในการแข่งขัน รวมทั้งเศรษฐกิจบางภาคส่วนมีความเปราะบางมากขึ้นโดยเฉพาะ SMEs ด้านอัตราเงินเฟ้อทั่วไปมีแนวโน้มอยู่ในระดับต่ำจากปัจจัยด้านอุปทาน

คณะกรรมการฯ เห็นว่านโยบายการเงินสามารถผ่อนคลายเพิ่มเติมได้บ้างเพื่อให้ภาวะการเงินเอื้อต่อการปรับตัวของภาคธุรกิจและช่วยบรรเทาภาระของกลุ่มเปราะบาง แม้ว่าเศรษฐกิจไทยในปี 2568 และ 2569 จะสามารถขยายตัวใกล้เคียงกับที่ได้ประเมินไว้

ผลการประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงิน ครั้งที่ 4 ปี 2568 แนวโน้มเศรษฐกิจขยายตัว
เศรษฐกิจไทยมีแนวโน้มขยายตัวกว่าที่ประเมินไว้

เศรษฐกิจไทยในปี 2568 และ 2569 ขยายตัวใกล้เคียงกับที่ประเมินไว้ โดยเศรษฐกิจในช่วงครึ่งแรกของปี 2568 ขยายตัวดีจากการส่งออกกลุ่มสินค้าอิเล็กทรอนิกส์ การเร่งส่งออกไปสหรัฐฯ และภาคการผลิต

ทั้งนี้ มุมมองเศรษฐกิจไทยตั้งแต่ช่วงครึ่งหลังของปี 2568 มีแนวโน้มชะลอลงจากช่วงครึ่งแรกของปีจากผลกระทบทั้งทางตรงและทางอ้อมของมาตรการภาษีสหรัฐฯ และจำนวนนักท่องเที่ยวกลุ่มระยะใกล้ที่ลดลงตามการแข่งขันในภูมิภาคที่รุนแรงขึ้น ซึ่งมีผลกระทบต่อรายได้ของธุรกิจ SMEs ลูกจ้าง และผู้ประกอบอาชีพอิสระ ด้านการบริโภคภาคเอกชนมีแนวโน้มขยายตัวในระดับต่ำจากความเชื่อมั่นและแนวโน้มรายได้ที่ชะลอลง โดยต้องติดตามผลกระทบของการเก็บภาษี transshipment และการแข่งขันกับสินค้านำเข้า

ผลการประชุม กนง ครั้งที่ 4 ปี 2568 อัตราเงินเฟ้อ
อัตราเงินเงินเฟ้อมีแนวโน้มอยู่ในระดับต่ำจากปัจจัยด้านอุปทานเป็นหลัก
โดยยังไม่สะท้อนแรงกดดันด้านอุปสงค์ที่น่ากังวล

อัตราเงินเฟ้อทั่วไปมีแนวโน้มอยู่ในระดับต่ำ โดยราคาอาหารสดปรับลดลงจากผลผลิตที่เพิ่มขึ้นตามสภาพอากาศที่เอื้ออำนวย และราคาหมวดพลังงานที่โน้มลงตามราคาน้ำมันดิบโลก อย่างไรก็ดี ราคาสินค้าและบริการอื่นไม่ได้ลดลงตามเป็นวงกว้าง สะท้อนในอัตราเงินเฟ้อพื้นฐานที่มีแนวโน้มทรงตัวใกล้เคียงกับที่ประเมินไว้ โดยอัตราเงินเฟ้อทั่วไปที่อยู่ในระดับต่ำมีส่วนช่วยบรรเทาไม่ให้ค่าครองชีพของประชาชนและต้นทุนของธุรกิจยิ่งสูงไปกว่านี้

สินเชื่อหดตัวต่อเนื่องตามความเสี่ยงด้านเครดิตที่สูงขึ้น โดยเฉพาะใน SMEs และครัวเรือนกลุ่มรายได้ต่ำ ประกอบกับการชำระคืนหนี้ที่เพิ่มขึ้นและความต้องการสินเชื่อของธุรกิจขนาดใหญ่ที่ปรับลดลงจากความไม่แน่นอนของเศรษฐกิจ สำหรับคุณภาพสินเชื่อยังปรับด้อยลงโดยเฉพาะสินเชื่อ SMEs และสินเชื่อที่อยู่อาศัย ด้านอัตราแลกเปลี่ยนเงินบาทเทียบดอลลาร์ สรอ. แข็งค่าเทียบกับสกุลเงินภูมิภาค ซึ่งแนวโน้มสินเชื่อโดยรวมชะลอตัวเพราะอยู่ในช่วง Deleverage จากภาระหนี้ที่สูง ส่วนหนึ่งจากมาตรการช่วยเหลือช่วง COVID

ขณะที่อัตราผลตอบแทนพันธบัตรไทยปรับลดลงตามคาดการณ์แนวโน้มเศรษฐกิจ คณะกรรมการฯ เห็นควรให้ติดตามการขยายตัวของสินเชื่อและการเคลื่อนไหวของค่าเงินบาทซึ่งอาจมีนัยต่อกิจกรรมทางเศรษฐกิจ รวมทั้งสนับสนุนมาตรการทางการเงินเพื่อลดต้นทุนทางการเงินและบรรเทาภาระหนี้ของกลุ่มเปราะบาง


แหล่งที่มา