Fed ลดดอกเบี้ย 25 BPS เป็นครั้งที่ 3 ของปี เหลือกรอบเป้าหมาย 3.5-3.75% ใน FOMC Meeting ครั้งที่ 9/2568

Published

Modified

Fed ลดดอกเบี้ย 25 BPS เหลือกรอบเป้าหมาย 3.5% - 3.75% ธนาคารกลางสหรัฐ ลดดอกเบี้ยนโยบาย

ธนาคารกลางสหรัฐฯ (Federal Reserve System) ลดกรอบเป้าหมายอัตราดอกเบี้ยนโยบายลงอีก 25 Basis Points ส่งผลให้ Federal Funds Rate ของสหรัฐฯ เหลือกรอบ 3.5% – 3.75% ในการประชุม FOMC ครั้งที่ 9 ของปี 2568 ซึ่งคณะกรรมการ FOMC

ในการประชุม FOMC ครั้งนี้ คณะกรรมการมีมติไม่เป็นเอกฉันท์ ด้วยคะแนนเสียง 9 ต่อ 3 เสียง โดยฝ่ายที่ไม่เห็นด้วย 1 เสียงต้องการให้ลดอัตราดอกเบี้ยลง 50 Basis Points และอีก 2 เสียงต้องการให้คงอัตราดอกเบี้ยนโยบายเอาไว้

เหตุผลในการลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายของ Fed ครั้งนี้ มาจากการที่คณะกรรมการ FOMC มองว่าเศรษฐกิจขยายตัวปานกลาง แต่มีความเสี่ยงด้านการจ้างงานเพิ่มขึ้น (การจ้างงานชะลอตัว อัตราการว่างงานขยับขึ้น) ในขณะที่เงินเฟ้อยังคงสูงกว่าเป้าหมายเล็กน้อย Fed จึงปรับลดดอกเบี้ยเพื่อประคองการจ้างงานให้เต็มศักยภาพ ควบคู่ไปกับการคุมเงินเฟ้อ

นอกจากนี้ เพื่อให้สอดคล้องกับเป้าหมายข้างต้น เฟดได้ปรับลดอัตราดอกเบี้ยสำหรับเครื่องมือทางการเงินต่างๆ ดังนี้

  • ดอกเบี้ยที่จ่ายให้เงินสำรอง (IORB) ลดเหลือ 3.65%
  • อัตราดอกเบี้ย Primary Credit Rate ลดเหลือ 3.75% (อนุมัติตามคำขอของเฟดสาขานิวยอร์ก, ฟิลาเดลเฟีย, เซนต์หลุยส์ และซานฟรานซิสโก)
  • ธุรกรรมซื้อคืนพันธบัตรข้ามคืน (Overnight Repo) กำหนดอัตราที่ 3.75%
  • ธุรกรรมขายคืนพันธบัตรข้ามคืน (Overnight Reverse Repo – ON RRP) กำหนดอัตราเสนอขายที่ 3.50% (วงเงินไม่เกิน 1.6 แสนล้านดอลลาร์ต่อสัญญา)

นโยบายงบดุลและการรักษาสภาพคล่อง

Fed เปลี่ยนท่าทีจากการลดงบดุล มาเป็นการ รักษาระดับเงินสำรองให้เพียงพอ (Ample Reserves) โดยสั่งการให้แผนกดูแลตลาด (Open Market Desk) ดำเนินการดังนี้

  • เริ่มกลับมาซื้อตราสารหนี้ โดยให้เข้าซื้อตั๋วเงินคลัง (Treasury bills) และพันธบัตรรัฐบาลระยะสั้น (อายุคงเหลือไม่เกิน 3 ปี) ตามความจำเป็น เพื่อรักษาระดับเงินสำรองในระบบไม่ให้ตึงตัวเกินไป
  • การลงทุนต่อ (Reinvestment)
    • พันธบัตรรัฐบาล (Treasury) เงินต้นที่ครบกำหนดให้นำไปประมูลพันธบัตรใหม่ (Roll over) ทั้งหมด
    • ตราสารหนี้หน่วยงานรัฐ (Agency Securities) เงินต้นที่ครบกำหนดให้นำกลับมาลงทุนใหม่ในตั๋วเงินคลัง (Treasury bills) แทน

โดยการซื้อพันธบัตรเพิ่ม (Reserve Management) Fed ประกาศจะเริ่มเข้าซื้อพันธบัตรรัฐบาลระยะสั้น (Short-term Treasury securities) วงเงิน 4 หมื่นล้านดอลลาร์ในเดือนแรก

ทั้งนี้ Powell ย้ำว่าไม่ใช่การเปลี่ยนจุดยืนนโยบายการเงิน (ไม่ใช่ QE เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ) แต่ทำไปเพื่อให้แน่ใจว่ามีปริมาณเงินสำรองในระบบธนาคาร (Reserves) เพียงพอสำหรับการบริหารจัดการอัตราดอกเบี้ยเท่านั้น

สรุป มุมมองต่อเศรษฐกิจ จากการประชุม FOMC ธันวาคม 2568

  • ตลาดแรงงานชะลอตัวลงอย่างเห็นได้ชัด อัตราการว่างงานขยับขึ้นแตะระดับ 4.4% การจ้างงานเติบโตช้าลง ส่วนหนึ่งมาจากการเติบโตของกำลังแรงงานที่ลดลง (การอพยพเข้าเมืองลดลง)
  • เงินเฟ้อยังคงสูงกว่าเป้าหมายเล็กน้อย โดยดัชนี PCE อยู่ที่ 2.8% (ทั้งแบบรวมและพื้นฐาน)
    • ปัจจัยลบ: เงินเฟ้อภาคสินค้าปรับตัวสูงขึ้นจากผลกระทบของกำแพงภาษี (Tariffs)
    • ปัจจัยบวก: ภาคบริการยังคงมีการชะลอตัวของเงินเฟ้อ (Disinflation) ต่อเนื่อง
  • GDP คาดการณ์ GDP ปีนี้โต 1.7% และปีหน้า 2.3% ดีกว่าที่คาดการณ์ไว้ในเดือนกันยายนเล็กน้อย แม้ภาคอสังหาริมทรัพย์จะยังอ่อนแอ
  • ประเด็นเรื่องกำแพงภาษี Powell มองว่าผลกระทบของภาษีศุลกากรต่อเงินเฟ้อจะเป็นเพียงการขยับขึ้นของระดับราคาเพียงครั้งเดียว (One-time shift) และไม่น่าจะกลายเป็นปัญหาเงินเฟ้อระยะยาว หาก Fed ดูแลไม่ให้เกิดผลกระทบต่อเนื่อง

คาดการณ์แนวโน้มในอนาคต (Dot Plot)

ในส่วนของคาดการณ์อัตราดอกเบี้ย (Dot Plot) จากค่ามัธยฐาน (Median) คณะกรรมการ Fed คาดการณ์ว่าดอกเบี้ยจะอยู่ที่ 3.4% (กรอบเป้าหมาย 3.25-3.5%) ณ สิ้นปี 2026 และ 3.1% (กรอบเป้าหมาย 3-3.25%) ณ สิ้นปี 2027

อย่างไรก็ตาม Jerome Powell ยังคงย้ำว่าการดำเนินนโยบายในอนาคต “ไม่ได้ถูกกำหนดไว้ล่วงหน้า” แต่จะขึ้นอยู่กับข้อมูลเศรษฐกิจใหม่ ๆ ที่จะเข้ามา เพื่อหาจุดสมดุลที่ดีที่สุดระหว่างการควบคุมเงินเฟ้อและการสนับสนุนการจ้างงานต่อไป

แถลงการณ์การประชุม FOMC ครั้งที่ 8 ของปี 2568

ตัวชี้วัดทางเศรษฐกิจล่าสุดระบุว่า กิจกรรมทางเศรษฐกิจมีการขยายตัวในอัตราปานกลาง การเพิ่มขึ้นของการจ้างงานชะลอตัวลงในปีนี้ และอัตราการว่างงานขยับสูงขึ้นเล็กน้อยจนถึงเดือนกันยายน ซึ่งตัวชี้วัดล่าสุดอื่นๆ ก็สอดคล้องกับแนวโน้มดังกล่าว ในขณะที่อัตราเงินเฟ้อได้ปรับตัวสูงขึ้นจากช่วงต้นปีและยังคงอยู่ในระดับที่ค่อนข้างสูง

คณะกรรมการฯ มุ่งมั่นที่จะบรรลุเป้าหมายการจ้างงานเต็มศักยภาพและให้อัตราเงินเฟ้ออยู่ที่ 2% ในระยะยาว ความไม่แน่นอนเกี่ยวกับแนวโน้มเศรษฐกิจยังคงอยู่ในระดับสูง คณะกรรมการฯ ได้ให้ความสำคัญกับความเสี่ยงของเป้าหมายทั้ง 2 ด้าน (Dual Mandate) และประเมินว่าความเสี่ยงด้านลบต่อการจ้างงานได้ปรับตัวสูงขึ้นในช่วงหลายเดือนที่ผ่านมา

เพื่อสนับสนุนเป้าหมายดังกล่าวและเมื่อพิจารณาถึงการเปลี่ยนแปลงของสมดุลความเสี่ยง คณะกรรมการฯ จึงมีมติให้ ปรับลดกรอบเป้าหมายอัตราดอกเบี้ยระยะสั้น (Federal Funds Rate) ลง 25 Basis Points มาอยู่ที่กรอบอัตราดอกเบี้ยเป้าหมาย 3.50% ถึง 3.75% ต่อปี ในการพิจารณาขอบเขตและช่วงเวลาของการปรับอัตราดอกเบี้ยเพิ่มเติมนั้น คณะกรรมการฯ จะประเมินข้อมูลที่ได้รับ แนวโน้มเศรษฐกิจที่เปลี่ยนแปลงไป และสมดุลของความเสี่ยงอย่างรอบคอบ ทั้งนี้ คณะกรรมการฯ มีความมุ่งมั่นอย่างแรงกล้าที่จะสนับสนุนการจ้างงานให้เต็มศักยภาพและนำเงินเฟ้อกลับสู่เป้าหมายที่ 2%

ในการประเมินจุดยืนของนโยบายการเงินที่เหมาะสม คณะกรรมการฯ จะยังคงติดตามผลกระทบของข้อมูลเศรษฐกิจที่ได้รับต่อแนวโน้มเศรษฐกิจต่อไป โดยคณะกรรมการฯ พร้อมที่จะปรับจุดยืนของนโยบายการเงินตามความเหมาะสมหากมีความเสี่ยงที่อาจขัดขวางการบรรลุเป้าหมายของคณะกรรมการฯ ทั้งนี้ การประเมินจะพิจารณาข้อมูลในวงกว้าง ซึ่งรวมถึงข้อมูลสภาวะตลาดแรงงาน แรงกดดันด้านเงินเฟ้อและการคาดการณ์เงินเฟ้อ รวมถึงสถานการณ์ทางการเงินและสถานการณ์ระหว่างประเทศ

คณะกรรมการฯ ประเมินว่ายอดคงเหลือของเงินสำรองได้ลดลงสู่ระดับที่เพียงพอ (Ample levels) และจะเริ่มดำเนินการซื้อพันธบัตรรัฐบาลระยะสั้นตามความจำเป็น เพื่อรักษาระดับปริมาณเงินสำรองให้เพียงพออย่างต่อเนื่อง

ผู้ที่ลงคะแนนเสียงเห็นชอบกับการดำเนินนโยบายการเงินครั้งนี้ ได้แก่: เจอโรม เอช. พาวเวลล์ (ประธาน), จอห์น ซี. วิลเลียมส์ (รองประธาน), ไมเคิล เอส. บาร์, มิเชล ดับเบิลยู. โบว์แมน, ซูซาน เอ็ม. คอลลินส์, ลิซ่า ดี. คุก, ฟิลิป เอ็น. เจฟเฟอร์สัน, อัลเบอร์โต จี. มูซาเลม และ คริสโตเฟอร์ เจ. วอลเลอร์

ผู้ที่ลงคะแนนเสียงไม่เห็นชอบ ได้แก่: สตีเฟน ไอ. มิราน ซึ่งต้องการให้ปรับลดอัตราดอกเบี้ยลง 50 Basis Points ในการประชุมครั้งนี้; และ ออสแตน ดี. กูลส์บี กับ เจฟฟรีย์ อาร์. ชมิด ซึ่งต้องการให้คงอัตราดอกเบี้ยไว้ที่ระดับเดิมในการประชุมครั้งนี้

Federal Reserve issues FOMC statement

Federal Reserve issues FOMC statement ฉบับเต็มและคณะกรรมการที่ลงคะแนนให้ลดและคงอัตราดอกเบี้ยนโยบาย จากการแถลงข่าวของ Federal Reserve เมื่อวันที่ 10 ธันวาคม 2568 เวลา 2:00 p.m. (EST)

Available indicators suggest that economic activity has been expanding at a moderate pace. Job gains have slowed this year, and the unemployment rate has edged up through September. More recent indicators are consistent with these developments. Inflation has moved up since earlier in the year and remains somewhat elevated.

The Committee seeks to achieve maximum employment and inflation at the rate of 2 percent over the longer run. Uncertainty about the economic outlook remains elevated. The Committee is attentive to the risks to both sides of its dual mandate and judges that downside risks to employment rose in recent months.

In support of its goals and in light of the shift in the balance of risks, the Committee decided to lower the target range for the federal funds rate by 1/4 percentage point to 3-1/2 to 3‑3/4 percent. In considering the extent and timing of additional adjustments to the target range for the federal funds rate, the Committee will carefully assess incoming data, the evolving outlook, and the balance of risks. The Committee is strongly committed to supporting maximum employment and returning inflation to its 2 percent objective.

In assessing the appropriate stance of monetary policy, the Committee will continue to monitor the implications of incoming information for the economic outlook. The Committee would be prepared to adjust the stance of monetary policy as appropriate if risks emerge that could impede the attainment of the Committee’s goals. The Committee’s assessments will take into account a wide range of information, including readings on labor market conditions, inflation pressures and inflation expectations, and financial and international developments.

The Committee judges that reserve balances have declined to ample levels and will initiate purchases of shorter-term Treasury securities as needed to maintain an ample supply of reserves on an ongoing basis.

Voting for the monetary policy action were Jerome H. Powell, Chair; John C. Williams, Vice Chair; Michael S. Barr; Michelle W. Bowman; Susan M. Collins; Lisa D. Cook; Philip N. Jefferson; Alberto G. Musalem; and Christopher J. Waller. Voting against this action were Stephen I. Miran, who preferred to lower the target range for the federal funds rate by 1/2 percentage point at this meeting; and Austan D. Goolsbee and Jeffrey R. Schmid, who preferred no change to the target range for the federal funds rate at this meeting.


ข้อมูลอ้างอิงจาก