Lawrence Stroll เจ้าของทีม Aston Martin Formula 1 เป็นใคร ทำไมซื้อทีม F1 ให้ลูกขับได้

Published

Modified

Lawrence Stroll คือ ทีม Aston Martin F1 ตัวอย่าง Private Equity

3.9 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ คือมูลค่าทรัพย์สินของ Lawrence Stroll เจ้าของทีม Aston Martin F1 ซึ่งปัจจุบัน Lawrence Stroll มีทรัพย์สินอยู่ในอันดับที่ 792 ของบุคคลที่รวยที่สุดในโลกตามข้อมูลของ Forbes1 ณ สิ้นปี 2024 ทำให้เขาเป็นคนที่รวยที่สุดใน Formula 1 อย่างปฏิเสธไม่ได้

ในบทความนี้เราจะพาไปดูกันว่า Lawrence Stroll คือใคร? และอะไรที่พา Lawrence Stroll มาอยู่ในจุดที่เขามี Net Worth มากกว่า 70 เท่าของ Christian Horner ที่เป็นหัวหน้าทีม Red Bull Racing

Lawrence Stroll เป็นใครมาจากไหน?

Lawrence Stroll มีชื่อเต็มว่า Lawrence Sheldon Strulovitch (ใช่แล้วครับ นามสกุลของ Lawrence Stroll จริง ๆ แล้วคือ Strulovitch ซึ่งมีรากมาจากฝั่งพ่อของเขาที่มาจากรัสเซีย) เกิดที่เมือง Montreal ในประเทศ Canada เมื่อวันที่ 11 กรกฎาคม 1959 (อายุ 65 ปี ณ วันที่เขียน) Lawrence Stroll นั้นเกิดมาในครอบครัวที่มั่งคั่งเช่นเดียวกันกับ Lance Stroll ลูกชายของเขา โดยพ่อของเขา Leo Strulovitch สร้างรายได้นับล้านจากการนำแบรนด์อย่าง Pierre Cardin และ Ralph Lauren เข้ามายังแคนาดา

แน่นอนว่า Lawrence Stroll ก็ได้เติบโตขึ้นมาโดยเดินตามรอยเท้าพ่อของเขาด้วยการเข้าไปมีส่วนร่วมในอุตสาหกรรมเสื้อผ้าในวันเกิดปีที่ 17 ของเขา แทนที่เขาจะได้ของขวัญวันเกิดเหมือนกับเด็กส่วนใหญ่ พ่อของเขา Leo Strulovitch ได้ยกใบอนุญาตขาย Pierre Cardin ในแคนาดาให้กับเขา จึงอาจเรียกว่า Lawrence Stroll เริ่มต้นเส้นทางธุรกิจของเขาในอุตสาหกรรมแฟชั่นโดยขายเสื้อผ้าสตรีและเด็กของ Pierre Cardin ในแคนาดา ซึ่งเขาใช้เวลากว่า 1 ทศวรรษหลังจากนั้นในการพัฒนาแบรนด์ Pierre Cardin ให้เติบโตไปทั่วแคนาดา

การพา Ralph Lauren บุกตลาดยุโรป

15 ปีต่อมา Lawrence Stroll ได้เข้าร่วมการประมูลรถยนต์ ซึ่งปรากฎว่าเขาได้ประมูลรถยนต์คันหนึ่งแข่งกับชายชื่อ Ralph Lauren ที่ยังไม่ได้เป็นที่รู้จักอย่างกว้างขวางในขณะนั้นแต่อยู่ในช่วงที่แบรนด์ของเขากำลังเป็นที่สนใจในสหรัฐอเมริกา และพยายามผลักดันแบรนด์ Ralph Lauren เข้าสู่ยุโรป แม้ว่าการประมูลดังกล่าวจบลงที่ Lawrence แพ้การประมูล แต่ก็แลกกับการกลับบ้านมาพร้อมกับใบอนุญาตในการขาย Ralph Lauren ภายใต้บริษัท Poloco S.A. สำหรับการขายในยุโรป

อย่างไรก็ตาม เขารู้ดีว่าเขาไม่สามารถทำสิ่งนี้ได้เพียงลำพัง เขาจึงได้ร่วมมือกับ Silas Chou นักธุรกิจในอุตสาหกรรมผู้ผลิตสิ่งทอจากฮ่องกง ซึ่งเป็นเพื่อนของเขา อีกทั้งพ่อของพวกเขาเองต่างก็เคยร่วมงานกัน โดยพวกเขาได้ร่วมมือกันก่อตั้ง Sportswear Holdings ขึ้นมาในปี 1989 และประสบความสำเร็จกับ Ralph Lauren ในยุโรป

ต่อยอดความสำเร็จด้วยการเข้าซื้อ Tommy Hilfiger

ความสำเร็จครั้งใหญ่ในการนำ Ralph Lauren เข้าสู่ตลาดยุโรปทำให้ Lawrence Stroll และ Silas Chou ได้รับความสนใจจากแบรนด์เสื้อผ้าอื่น ๆ ในสหรัฐฯ และหนึ่งในนั้นคือ Tommy Hilfiger ที่ขณะนั้นกำลังมองหาดีลที่จะช่วยต่อลมหายใจของ Tommy Hilfiger ที่กำลังหมดเงินทุน

Stroll และ Chou จึงได้เข้าซื้อ Tommy Hilfiger ในสัดส่วน 70% ในขณะที่ Hilfiger เป็นเจ้าของ 22.5% และ CEO เป็นเจ้าของส่วนที่เหลืออีก 7.5% ภายใต้การบริหารรูปแบบใหม่ที่ Silas Chou ดูแลด้านอุปทานและการจัดจำหน่าย ขณะที่ Lawrence Stroll ควบคุมกลยุทธ์ด้านการตลาดและการเติบโต พร้อมกับดำรงตำแหน่งเป็นคณะกรรมการบริหารระหว่างปี 1992 ถึง 2002

จากแรงหนุนของปัจจัยภายนอกอย่างความต้องการเสื้อผ้าลำลองที่เพิ่มสูงขึ้นในช่วงปี 1990s ทำให้ Tommy Hilfiger เติบโตขึ้น และในปี 2000 รายได้ของ Sportswear Holdings อยู่ที่ 2 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อปี จาก 25 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ในช่วงเริ่มต้นของ Sportswear Holdings เมื่อปี 1989

นอกจากนั้น Stroll และ Chou รู้ดีว่าลูกค้าที่ร่ำรวยของพวกเขาซื้อเสื้อผ้าของพวกเขาเพื่อภาพลักษณ์ (Emotional Positioning) และไม่ได้สนใจเรื่องคุณภาพมากนัก ดังนั้นแล้วพวกเขาจึงเลือกลดคุณภาพและราคาลงเล็กน้อย ซึ่งการใช้กลยุทธ์ที่ไม่ซับซ้อนดังกล่าวทำเงินให้พวกเขาได้หลายล้านเหรียญ

และในที่สุด Sportswear Holdings ก็ถูกขายให้กับ PVH Corp. ในปี 2010 ในราคา 3 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ นั่นทำให้การลงทุนเริ่มแรกของเขา 35 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ กลายเป็นหลายพันล้านในท้ายที่สุด

กำไรมหาศาลจาก Michael Kors

ต่อมาอีกหนึ่งการร่วมทุนที่ประสบความสำเร็จของ Lawrence Stroll คือการซื้อแบรนด์ Michael Kors ในปี 2003 โดย Sportswear Holdings ได้ลงทุน 85 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ในการเข้าครอบครองบริษัทในสัดส่วน 85%

ในครั้งนี้ Stroll และ Chou ก็ยังคงใช้กลยุทธ์เดียวกันกับที่ใช้กับ Tommy Hilfiger เพื่อสร้างกำไรที่มากขึ้น พร้อมกับการขยายไปสู่สินค้า Luxury Goods อื่นอย่างน้ำหอม นาฬิกา และกระเป๋าถือ โดยบริษัทเติบโตอย่างน่าสนใจที่สุดในช่วงวิกฤตการเงินช่วงปี 2007 ก่อนที่ในปี 2011 บริษัทจะเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์นิวยอร์ก (NYSE) ซึ่งส่งผลให้มูลค่าของบริษัทเพิ่มขึ้นเป็น 3.6 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ

ซึ่งเป็นอีกครั้ง Lawrence Stroll ได้ทำกำไรด้วยการขายหุ้นของ Michael Kors ออกไปจาก Sportswear Holdings โดยได้ขายหุ้นสุดท้ายออกไปในปี 2014 ส่งผลให้เงินลงทุน 85 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ได้สร้างผลตอบแทนกว่า 3,500% จากการลงทุนด้านแฟชั่นทั้งหมดของเขา ซึ่งทำให้เขามีรายได้รวมประมาณ 2.6 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ

จุดเริ่มต้นในวงการ Formula 1 กับ Williams Racing

หลังจากกลายเป็นมหาเศรษฐีพันล้าน Lawrence Stroll จึงเริ่มทุ่มเงินให้กับความหลงใหลอีกอย่างของเขา นั่นก็คือมอเตอร์สปอร์ตที่เป็นสิ่งที่ปรากฏชัดอยู่แล้วตั้งแต่สมัย Ralph Lauren ในตอนต้น และการซื้อสนามแข่ง Mont-Tremblant Circuit ใน Quebec เมื่อปี 2000 มาในราคา 625,000 ดอลลาร์สหรัฐฯ

Lawrence Stroll ได้ทุ่มเงินให้กับอาชีพนักแข่งของลูกชายของเขา Lance Stroll อย่างมหาศาล โดยเริ่มต้นตั้งแต่การแสวงหาครูผู้ฝึกสอนการขับโกคาร์ทและโน้มน้าวให้ย้ายมายังแคนาดา เพื่อเป็นจุดเริ่มต้นเส้นทางการแข่งขันรถล้อเปิดของ Lance Stroll ตั้งแต่ 10 ขวบ และทำให้เขาสามารถเข้า Ferrari Driver Academy ได้ตั้งแต่อายุ 12 ขวบ ก่อนที่จะสนับสนุนเงินให้กับทีม Prema หลายสิบล้านดอลลาร์สหรัฐฯ (เชื่อกันว่าราว ๆ 76 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ) เพื่อให้แน่ใจว่าลูกชายของเขาจะสามารถเข้าถึงทีมที่มีความพร้อม อันมีส่วนสำคัญในการช่วยให้ Lance Stroll คว้าแชมป์ Formula 4 ได้ในปี 2014 และแชมป์ European Formula 3 ในปี 2016 ก่อนที่จะพา Lance Stroll เข้าสู่ Formula 1 ในปี 2017 ด้วยการลงทุน 35 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ เพื่อที่จะได้แข่งให้กับทีม Williams Racing ที่กำลังประสบปัญหาด้านการเงินในขณะนั้น

ใช่ครับมีนักขับ 2 คนบนกริดที่ข้ามจาก Formula 3 ไป Formula 1 โดยไม่แข่ง Formula 2 มาก่อน นั่นคือ Max Verstappen และ Lance Stroll

อย่างไรก็ตาม ด้วยปัญหาด้านการเงินและปัญหาอื่น ๆ ของ Williams Racing ที่ทำให้ Williams Racing เป็นได้เพียงทีมท้ายตารางเท่านั้น และแน่นอนว่านั่นไม่ใช่สิ่งที่พ่อลูก Stroll พอใจ โดย Lawrence Stroll ได้อธิบายสิ่งที่ Lance Stroll ได้รับในช่วงเวลาที่ขับให้กับทีม Williams Racings ว่าคือ Torture หรือ การทรมาน ด้วยผลงานการจบการแข่งขันในปี 2017 ด้วยคะแนนเพียง 40 คะแนน เป็นอันดับที่ 12 ของประเภทนักขับ และ 1 โพเดียมจาก Azerbaijan Grand Prix

การเข้าซื้อ Racing Point F1

ปลายปี 2018 ทีม Force India ได้ประสบปัญหาทางการเงิน เนื่องจาก Vijay Mallya เจ้าของทีม Force India ถูกกล่าวหาว่าฉ้อโกง คอร์รัปชัน และฟอกเงิน ซึ่งนำไปสู่ปัญหาการเงินของทีมระหว่างรอนักลงทุนเข้าซื้อทีม และท่ามกลางความเป็นไปได้มากมายของผู้ที่จะเข้ามาเป็นเจ้าของใหม่ของทีม Force India ในท้ายที่สุด Lawrence Stroll คือนักลงทุนที่เข้ามาซื้อ Force India ไปในราคา 117 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ และเปลี่ยนชื่อทีมเป็น Racing Point ซึ่งการเข้ามาของ Lawrence Stroll ส่งผลให้ลูกชายของเขา Lance Stroll เข้ามาเป็นนักขับแทนที่ Esteban Ocon ในปี 2019 และปี 2020 (ส่วนนี้หาดูได้จาก Drive to Survive: Season 2 และ 3)

โดยผลงานของ Racing Point ในปี 2019 จบที่อันดับ 7 และในปี 2020 จบที่อันดับ 4 สำหรับคะแนนประเภททีม (World Constructors’ Champions) เหนือทีมของแบรนด์รถยนต์ชั้นนำอย่าง Ferrari, Renault, และ Alfa Romeo ในปีดังกล่าว เนื่องจากแรกเริ่มเดิมทีแล้วทีม Jordan (หรือทีม Force India ที่ปัจจุบันเปลี่ยนชื่อเป็น Racing Point) มีชื่อเสียงในการผลิตรถ Formula 1 ในระดับที่สามารถแข่งขันได้ด้วยงบประมาณที่ต่ำ ส่งผลให้ทีมมีข้อได้เปรียบในการสามารถใช้งบประมาณที่จำกัดจากกฎจำกัดเงินลงทุนในแต่ทีม (Cost Cap) ไม่เกินปีละ 135 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ได้อย่างเกิดประโยชน์สูงสุด

เข้าซื้อ Aston Martin และเป้าหมายของ Aston Martin F1

ผ่านไปเพียง 18 เดือน Lawrence Stroll ก็ได้เริ่มการเข้าซื้อกิจการอีกครั้ง โดยการนำกลุ่มบริษัท Yew Tree Investments (แน่นอนว่ามี Silas Chou อยู่ในนี้ด้วย) เข้ามาลงทุน ในบริษัทรถยนต์ Aston Martin ที่กำลังประสบปัญหา ด้วยเงินลงทุนกว่า 235 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ สำหรับหุ้น 16.7% ก่อนจะเพิ่มเป็น 25% เพื่อได้ได้สิทธิในการเป็นประธานกรรมการบริหารของ Aston Martin

สิ่งแรกที่ Lawrence Stroll ทำ หลังจากได้ Aston Martin มาไว้ในความครอบครองคือการเปลี่ยนชื่อทีม Formula 1 ที่มีอยู่ของเขาจาก Racing Point F1 เป็น Aston Martin F1 ตั้งแต่ 2021 เป็นต้นมาและเลือกใช้ Corporate Identity ด้วยสีเขียว British Racing Green ที่ปัจจุบันกลายเป็นสีประจำของ Aston Martin เพื่อช่วยส่งเสริมภาพลักษณ์ให้กับแบรนด์ Aston Martin ซึ่งช่วยเพิ่มมูลค่าให้กับทั้งแบรนด์ Aston Martin และมูลค่าของทีม Formula 1 ของเขา โดยมองเห็นโอกาสจากการที่ 88% ของผู้ที่ซื้อ Luxury Car สนใจใน Formula 12

Aston Martin F1 AMR243

รวมถึงการทำข้อตกลงในการใช้รถยนต์ Aston Martin Vantage F1 เป็น Safety Car4 ในการแข่ง Formula 1 บางสนาม (สลับกับ Mercedes-AMG GT Black Series)

Aston Martin Vantage F1 Safety Car

หลังจากที่ได้เปลี่ยนชื่อทีมเป็น Aston Martin เขายังได้ประกาศถึงเป้าหมายความพร้อมในการเป็นผู้ท้าชิงแชมป์โลก Formula 1 ภายใน 5 ปี หรือในอีกความหมายหนึ่งคือปี 2026 พวกเขาพร้อมที่จะเป็นทีมที่จะชิงแชมป์โลก (เพราะในปี 2026 จะมีการเปลี่ยนแปลงกฎการแข่งขันในหลายส่วน) ซึ่งปัจจุบันทีมได้ทุ่มเงินไปแล้วกว่า 300 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ สำหรับโรงงานแห่งใหม่ อุโมงค์ลม และพนักงานใหม่กว่า 300 คน รวมถึง Dan Fallows จาก Red Bull Racing ที่ช่วย Aston Martin อย่างมากในการทำความเข้าใจด้าน Aerodynamics และ Ground Effect ที่ส่งผลต่อการแข่งขัน Formula 1 อย่างมากในปัจจุบัน ซึ่งสะท้อนออกมาอย่างชัดเจนจากผลงานในช่วงต้นฤดูกาล 2023 จากที่เป็นทีมท้ายตารางในฤดูกาล 2022

นอกจากนั้น ในการเตรียมความพร้อมสำหรับการเปลี่ยนแปลงของกฎการแข่งขันในปี 2026 ทีมยังได้มีความร่วมมือกับ Honda ซึ่งเป็นผู้ผลิตเครื่องยนต์ให้กับ Red Bull Racing (แชมป์ปัจจุบัน) อีกทั้งยังได้ Saudi Aramco บริษัทน้ำมันและแก๊สยักษ์ใหญ่จากซาอุดิอารเบีย บริษัทที่มีรายได้มากที่สุดเป็นอันดับ 2 ของโลกมาเป็น Title Sponsor ของทีม ช่วยให้ทีมได้ประโยชน์จากทั้งด้านเงินลงทุนและเทคโนโลยีด้านน้ำมัน เนื่องจากในปี 2026 เป็นต้นไป F1 จะเปลี่ยนไปใช้ 100% Sustainable Fuel

ตลอดจนการดึงแชมป์โลก 4 สมัยอย่าง Sebastian Vettel มาเป็นนักขับคู่กับ Lance Stroll ลูกชายของเขา ในปี 2021-2022 และดึง Fernando Alonso แชมป์โลก 2 สมัยมาแทน Sebastian Vettel ที่ได้ Retire ไปอยู่กับครอบครัวในปี 2022

Lawrence Stroll ได้อธิบายเอาไว้ใน Drive to Survive: Season 6 ตอนที่ 1 เอาไว้ว่า “I think our team needs to have great drivers, whether it be world champion or not, to be able to share the experience of what it’s like and what it takes to be a world champion.” แม้ว่าหลายคนอาจปฏิเสธว่านี่คือการหานักขับมากประสบการณ์มาเพื่อเป็นนักขับหลักที่มีความแน่นอนกว่าในด้านผลงานเมื่อเทียบกับ Lance Stroll ลูกชายของเขา แต่เราก็ยากที่จะปฏิเสธได้ว่าแนวคิดในการอาศัยมุมมองของผู้ที่เคยประสบความสำเร็จมาก่อนดังกล่าวเป็นแนวคิดที่สำคัญอย่างยิ่งในการบริหารและนำพาองค์กรไปสู่เป้าหมาย

งานแถลงข่าวการเข้าร่วม Aston Martin ของ Adrian Newey5

และล่าสุด Lawrence Stroll ได้ดึง Adrian Newey นักออกแบบรถแข่งชาวอังกฤษที่เคยพาทีมฟอร์มูล่าวันคว้าแชมป์โลกไปแล้วถึง 25 ครั้ง ทำให้เขากลายเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านเทคนิคที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ของ Formula 1 ให้มาร่วมทีมกับ Aston Martin ตั้งแต่ปี 2025 เป็นต้นไป ในฐานะ Managing Technical Partner หลังจากที่ Adrian Newey ออกจากทีม Red Bull Racing ซึ่งเป็นทีมที่เป็นแชมป์โลกประเภททีมล่าสุดในขณะที่ดึงตัวมา และเป็นแชมป์โลกประเภททีมมาแล้ว 6 ครั้ง (มากเป็นอันดับที่ 6)

สิ่งที่น่าสนใจจากนี้ คือ เราต้องมาติดตามกันต่อไปว่า Lawrence Stroll จะสามารถพาแบรนด์ Aston Martin กลับมาได้หรือไม่ และจะสามารถพา Aston Martin Formula 1 ไปถึงเป้าหมายแชมป์โลกตามที่ตั้งเอาไว้ในปี 2026 ได้หรือไม่ ท่ามกลางทีมอื่น ๆ ที่มีความแข็งแกร่งไม่แพ้กันอย่าง Red Bull Racing, Mercedes-AMG, Ferrari, และ McLaren

รวมถึงสุดท้ายแล้ว Lawrence Stroll จะสามารถทำกำไรจากการลงทุนใน Aston Martin และ Racing Point F1 หรือ Aston Martin F1 Team ในปัจจุบันได้มากขนาดไหน

โดยในเบื้องต้นหลังจากจบ Las Vegas GP ในเดือนพฤศจิกายน 2023 มีรายงานว่า Lawrence Stroll ได้ขายหุ้น Aston Martin F1 Team (คนละส่วนกับบริษัท Aston Martin ที่ผลิตรถ) บางส่วนออกไปให้กับ Arctos Partners กองทุน Private Equity สัญชาติอเมริกัน โดยไม่มีการเปิดเผยเงื่อนไข ซึ่งดีลดังกล่าวส่งผลให้ในปัจจุบันทีม Aston Martin F1 มีมูลค่า 1 พันล้านปอนด์ (ประมาณ 4.64 หมื่นล้านบาท)

สัดส่วนการถือหุ้น Aston Martin Lagonda Global Holdings PLC ปัจจุบัน

ปัจจุบัน Lawrence Stroll ยังคงดำรงตำแหน่ง Chairman ของ Aston Martin Lagonda ซึ่งจากการเปิดเผยสัดส่วนผู้ถือหุ้นครั้งล่าสุด Lawrence Stroll เคยถือหุ้น Aston Martin Lagonda Global Holdings PLC ในสัดส่วน 25.28% และล่าสุดเมื่อเดือนพฤศจิกายน 2024 ที่ผ่านมา Nasdaq ได้รายงานว่า Lawrence Stroll ได้เพิ่มสัดส่วนการออกเป็น 27.67%6 โดยได้รับการสนับสนุนเสียงส่วนหนึ่งจาก Yew Tree Overseas Limited

ในส่วนของสัดส่วนการถือหุ้น Aston Martin Lagonda Global Holdings PLC หรือบริษัทแม่ของ Aston Martin ของผู้ถือหุ้นรายใหญ่ทั้งหมด 10 ลำดับแรกที่มีการเปิดเผยข้อมูล อ้างอิงจาก Marketscreener7 มีดังนี้

  • Shufu Li (หลี่ ซูฝู) ประธานบริษัท เจ้อเจียง จี๋ลี่ โฮลดิ้ง ที่เป็นผู้ถือหุ้นในหลายบริษัทยานยนต์ ไม่ว่าจะเป็น Volvo, Geely, และผู้ถือหุ้นใหญ่ของ Mercedes-Benz Group AG โดยเขาถือหุ้น Aston Martin ในสัดส่วน 15.22%
  • Public Investment Fund (Investment Management) ซึ่งเป็นกองทุนความมั่งคั่งแห่งชาติของประเทศซาอุดิอาระเบีย ถือหุ้นในสัดส่วน 15.01%
  • Ernesto Bertarelli ถือหุ้นในสัดส่วน 14.93%
  • Mercedes-Benz Group AG ถือหุ้นในสัดส่วน 7.831%
  • Public Investment Fund (Investment Company) บริษัทลูกของอันดับ 2 ถือหุ้นในสัดส่วน 3.028%
  • Atieva, Inc. ถือหุ้นในสัดส่วน 3.028%
  • Clearstream Banking SA ถือหุ้นในสัดส่วน 2.15%
  • Invesco Asset Management Ltd. ถือหุ้นในสัดส่วน 1.795%
  • Eurizon Capital SGR SpA ถือหุ้นในสัดส่วน 1.639%
  • Investec Wealth & Investment Ltd. ถือหุ้นในสัดส่วน 0.5777%

สำหรับ AMR Holdings GP Limited ที่เป็นบริษัทแม่ของทีม Aston Martin F1 และบริษัทที่เกี่ยวข้องไม่มีข้อมูลเปิดเผย เนื่องจากไม่ใช่บริษัทมหาชน


  1. Lawrence Stroll, Forbes (Real Time Net Worth) ↩︎
  2. ASTON MARTIN LAGONDA ANNUAL REPORT 2023 ↩︎
  3. ภาพ Aston Martin F1 (AMR24) จาก The next chapter of our hyper-focused journey ↩︎
  4. ภาพ Aston Martin Vantage Safety Car จาก Fastest ever Aston Martin Vantage announced as latest Formula One Safety Car ↩︎
  5. Adrian Newey begins new chapter with Aston Martin Aramco Formula One Team ↩︎
  6. Aston Martin’s Ownership Changes: Stroll Strengthens Control ↩︎
  7. Aston Martin Lagonda Global Holdings PLC, Marketscreener ↩︎